หน้าเว็บ

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

CMOS คืออะไร


CMOS - CMOS ย่อมาจาก Complementary Metal Oxide Semiconductor เป็น Sensor ที่มีลักษณะการทำงานโดยแต่ละพิกเซลจะมีวงจรย่อยๆเปลี่ยนค่าแสงที่เข้ามาเป็นสัญญาณดิจิตอลในทันที ไม่ต้องส่งออกไปแปลงเหมือน CCD 


Sensor CMOS 

CMOS มีต้นทุนในการผลิตที่ต่ำกว่า มีความรวดเร็ว และ ความร้อนเกิดได้น้อยกว่า CCD แต่ด้วยคุณภาพของภาพยังสู้ CCD ไม่ได้ มีสัญญาณรบกวนสูง
 
สมัยก่อน CMOS มักนำไปใช้กับกล้องดิจิตอลในระดับล่าง เพราะคุณภาพของภาพยังไม่ดีนัก ( แต่ในปัจจุบัน การพัฒนาเซนเซอร์ดีขึ้นอย่างมาก จึงไม่เป็นที่จำเป็นแล้วว่า จะ CCD หรือ CMOS ที่ดีกว่ากัน เพราะการรับแสงจากเซนเซอร์มีหลายปัจจัยในการได้คุณภาพที่ดีออกมา )
 

CCD คืออะไร


CCD - CCD ย่อมาจาก Charge Coupled Device เป็น Sensor ที่ทำงานโดยส่วนที่เป็น Sensor แต่ละพิกเซล จะทำหน้าที่รับแสงและเปลี่ยนค่าแสงเป็นสัญญาณอนาล็อก ส่งเข้าสู่วงจรเปลี่ยนค่าอนาล็อกเป็นสัญญาณดิจิตอลอีกที ซึ่งการรับแสงเป็นไปได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องเสียพื้นที่ในการแปลงสัญญาณอย่าง CMOS ซึ่ง ตัวแปลงสัญญาณก็อยู่แยกกันทำให้สัญญาณลบกวนเกิดน้อยกว่า แต่ก็มีข้อเสียในด้านความร้อนและเปลืองพลังงาน
 
CCD 

CCD ทำมาจาก ซิลิคอนที่ทำขึ้นพิเศษ และมีกระบวนการผลิตมีความซับซ่อนมากกว่าทำให้ ทำให้ต้นทุนในการสร้างสูงกว่า ซึ่ง CCD มีแต่บริษัทใหญ่เท่านั้นที่มีเทคโนโลยีนี้ เช่น Sony Kodak etc.

CMOS - CMOS ย่อมาจาก Complementary Metal Oxide Semiconductor เป็น Sensor ที่มีลักษณะการทำงานโดยแต่ละพิกเซลจะมีวงจรย่อยๆเปลี่ยนค่าแสงที่เข้ามาเป็นสัญญาณดิจิตอลในทันที ไม่ต้องส่งออกไปแปลงเหมือน CCD

CMOS

CMOS ทำจากซิลิคอนทั่วไป เช่นเดียวกับอุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไป ทำให้ราคาถูกกว่า CCD ด้วย CMOS ต้องมีพื้นที่ในการแปลงค่าสัญญาณในตัวทำให้พื้นที่ในการรับแสงนั้นศูนย์เสียไป

ดังนั้นการแก้ปัญหานี้คือ ได้เพิ่มขนาดเซนเซอร์ CMOS ให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเพื่อเพิ่มปริมาณพื้นที่รับแสงให้ดีขึ้น

สรุปง่ายๆคือ CMOS จะมีตัวรับแสงและแปลงสัญญาณในแต่ละพิกเซลเลย ส่วน CCD ตัวรับแสงจะรับแสงอย่างเดียว และจะส่งค่าที่ได้ออกมาให้วงจรที่มีหน้าที่แปลงสัญญาณอีกที

สมัยก่อน CMOS มักนำไปใช้กับกล้องดิจิตอลในระดับล่าง เพราะคุณภาพของภาพยังไม่ดีนัก ( แต่ในปัจจุบัน การพัฒนาเซนเซอร์ดีขึ้นอย่างมาก จึงไม่เป็นที่จำเป็นแล้วว่า จะ CCD หรือ CMOS ที่ดีกว่ากัน เพราะการรับแสงจากเซนเซอร์มีหลายปัจจัยในการได้คุณภาพที่ดีออกมา )

ADI คืออะไร

ADI (Advance Distance Integration)คือ ระบบวัดแสงแฟลชที่วัดปริมาณแสงที่สะท้อนกลับมาจากวัตถุและฉากหลัง และเอา ระยะทางที่ได้จากเลนส์เข้ามาในการคำนวนแสงด้วย  ทำให้มีความเที่ยงตรงและลดความผิดพลาดในการสะท้อนแสงจากฉากหลัง 


 

ระบบ TTL ต่างจากระบบ ADI อย่างไร โดยระบบทั้งสองนำเอาการสะท้อนของวัตถุที่ถ่ายมาคำนวนเหมือนกัน แต่ระบบ ADI จะนำเอาระยะของเลนส์เข้ามาคำนวนด้วย ทำให้ระบบแฟลช ADI จะเป็นที่นิยมใช้ในกล้องสมัยใหม่ ซึ่งถ้าเลนส์ตัวไหนไม่สามารถใช้ระบบแฟลช ADI ได้นั้นระบบกล้องจะเปลี่ยนมาใช้เป็น TTL ในการคำนวนแทน

เหตุผลที่ต้องซื้อ "กล้องดิจิตอล"

คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะไปที่ไหน ไม่ว่าจะไปเที่ยวหรือไปงานต่างๆ "กล้องดิจิตอล" คืออุปกรณ์ที่เราจะพบเห็นได้ทั่วไป และดูแล้วจำนวนคนที่มี"กล้องดิจิตอล" ดูจะมีมากกว่าจำนวนคนที่มีกล้องฟิล์ม สมัยที่กล้องฟิล์มยังเฟื่องฟูด้วยซ้ำ
ทำไม "กล้องดิจิตอล" จึงกลายเป็นอุปกรณ์ยอดฮิตในปัจจุบัน?? อันนี้ตอบได้ไม่ยาก ผมเชื่อว่าคนที่คิดจะซื้อ กล้องดิจิตอล ส่วนมากไม่เคยมีกล้องถ่ายรูปแบบฟิล์มมาก่อนด้วยซ้ำ แต่ทำไมคนที่ไม่เคยมีกล้องถ่ายรูปแบบฟิล์ม หรือมีความรู้เรื่องกล้องน้อยมาก จึงอยากมี กล้องดิจิตอล... คำตอบง่ายๆ คือ คนส่วนใหญ่คิดมานานแล้วว่า อยากเก็บภาพความทรงจำหรือความประทับใจต่างๆเอาไว้ ถ้าเราสามารถมีอุปกรณ์ซึ่งเก็บภาพหรือความทรงจำเหล่านั้นได้อย่างไม่จำกัดได้คงจะดีไม่น้อย ซึ่งกล้องแบบฟิล์มแบบเดิมนั้นตอบโจทย์ตรงนี้ไม่ได้ เนื่องจากข้อจำกัดของจำนวนภาพต่อฟิล์ม 1 ม้วน ลักษณะการถ่ายที่ไม่เห็นรูปก่อน และที่สำคัญที่สุดคือค่าใช้จ่ายในการถ่ายภาพ ซึ่ง กล้องดิจิตอล ทำให้ฝันของพวกเขาเป็นจริง (รวมทั้งของผมด้วย) เพราะ กล้องดิจิตอล ถ่ายได้ปริมาณมาก สามารถดูรูปก่อนได้ ลบทิ้งได้ และที่สำคัญที่สุด ไม่มีค่าใช้จ่ายในการถ่ายรูป

มาลองดูตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติของกล้องแบบเดิมๆ กับ กล้องดิจิตอล
คุณสมบัติ
กล้องใช้ฟิล์ม
กล้องดิจิตอล
จำนวนภาพ36 ภาพต่อ 1 ม้วนขึ้นอยู่กับขนาดของหน่วยความจำ สูงสุดได้เป็นพันๆ ภาพ
การดูภาพเสียคือเสียเลยดูก่อนได้ ทำให้รู้ว่าภาพนั้นใช้ได้หรือไม่
การใช้งานต้องระมัดระวัง เพราะถ้าถ่ายพลาด คือค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นใครๆ ก็ใช้ได้ ไม่ต้องกลัวรูปเสีย เพราะสามารถลบ และถ่ายใหม่ได้ตามต้องการ
การแก้ไขแก้ไขไม่ได้ หรือต้องนำภาพมา scan ก่อนนำมาแก้ไขในคอมพิวเตอร์ได้ทันที
ความสามารถถูกจำกัดด้วย ชนิดของฟิล์ม มีฟังก์ชั่นน้อยมีฟังก์ชั่นมาก ปรับได้หลากหลาย มีฟังก์ชั่นหลากหลาย บางรุ่นถ่ายภาพเคลื่อนไหวได้ด้วย
การนำภาพไปใช้ต้องนำภาพมา scan ก่อน ทำให้คุณภาพลดลงอีกนำลงคอมพิวเตอร์โดยตรงได้เลย ไม่ต้องนำภาพมา scan ก่อน
ค่าใช้จ่ายมีค่าใช้จ่าย ทั้งค่าฟิล์ม ค่าล้าง ค่าอัด แทบไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมแทบไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม นอกจากกรณีที่จะเอาไปอัด ซึ่งก็ยังสามารถเลือกอัดเป็นรูปๆ ได้
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมานี้ (โดยเฉพาะข้อสุดท้าย) ทำให้ กล้องดิจิตอล จึงกลายเป็นที่ต้องการของทุกคน และตอนนี้ราคา กล้องดิจิตอล ก็ถูกลงมากและคุณภาพก็ไม่ต่างจากกล้องฟิล์มแล้ว ดังนั้นผมเชื่อว่าภายใน 3 -4 ปีนี้กล้องฟิล์มจะหายไป(ผู้ผลิตฟิล์มรายใหญ่ เช่น Kodak มีแผนจะยกเลิกการผลิตฟิล์มแล้ว) และ การถ่ายรูปด้วยกล้องดิจิตอล จะได้รับความนิยมอย่างสูง แน่นอน

บัญญัติ 6 ประการในการซื้อ"กล้องดิจิตอล"


แน่ นอนละ คำถามของผู้ที่จะซื้อ กล้องดิจิตอล ก็คือ จะซื้อกล้องรุ่นไหนดี จึงจะเหมาะกับเจ้าของ และใช้งานได้นานๆ ไม่ต้องซื้อใหม่ในอนาคตอันใกล้ เราจึงได้สรุป บัญญัติ 6 ประการในการซื้อกล้องดิจิตอล ดังนี้

1. ถามความต้องการในการใช้งานของตนเอง
ผม เห็นหลายๆ คนเวลาซื้อ กล้องดิจิตอล ก็จะเลือกซื้อแบบที่มันแพงๆ หน่อย เพราะคิดว่ามันต้องดี แต่จากประสบการณ์ของผมแล้วมันก็ไม่จริงไปทั้งหมด ผมจะยกตัวอย่างเพื่อนคนหนึ่งซึ่ง ซื้อกล้อง digital ราคาแพงมาตัวหนึ่ง ราคาหลายหมื่นบาท เป็นกล้องแบบมืออาชีพเลยทีเดียว
แต่ ปรากฏว่าเวลาเอาไปใช้งานกลับไม่สะดวก เพราะตัวมันใหญ่เทอะทะ เวลาพกไปไหนก็ลำบาก เวลาถ่ายก็ต้องปรับความละเอียดให้ต่ำลง เพราะถ้าถ่ายที่ความละเอียดสูงสุด ภาพจะมีขนาดใหญ่มาก เวลาเอาลงคอมหรือปรับแต่งก็ช้ามากแถมมันก็ไม่มีความรู้เรื่องการถ่ายรูปเท่า ไหร่ ถ่ายแบบอัตโนมัติเป็นอย่างเดียว แบบนี้ก็เรียกว่าเสียเงินไปเปล่าๆ เห็นไหมครับว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องทราบความต้องการของตนเองก่อนว่า ต้องการ กล้องดิจิตอล ไปใช้งานทำอะไร
- ใช้งานทั่วๆไป
หมาย ถึงการนำไปใช้งานในการถ่ายภาพทั่วไป ถ่ายรูปเวลาไปเที่ยว เก็บภาพทั่วๆไป เป็นต้น โดยลักษณะนี้ กล้องก็ไม่จำเป็นต้องมีฟังก์ชั่นพิเศษอะไรมากมาย ความละเอียดก็ซัก 4 ล้าน pixel ก็พอแล้ว
- ใช้ในการทำเว็บไซต์
ภาพ ที่ลงในเว็บไซต์ ปกติก็ไม่ได้ต้องการภาพขนาดใหญ่อยู่แล้ว ปกติซัก 4 ล้าน pixel ก็เหลือเฟือ นอกจากจะนำไปใช้ถ่ายรูปที่ต้องการคุณภาพสูงมากๆ หรือเงินมันเหลือใช้ก็ตามใจ
- ใช้ในการรับจ้างถ่าพภาพตามงานต่างๆ
ใน การถ่ายในลักษณะนี้ แน่นอนว่าคงจะต้องใช้กล้องที่ดีหน่อย จริงๆควรจะเป็น กล้องดิจิตอล SLR ด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่ากล้องดิจิตอลแบบ compact ไม่ดีพอ แต่แน่นอน คนจ้างคงอยากจ้างคนที่มีกล้องแบบมืออาชีพมากกว่า ซึ่งควรจะมีความละเอียดประมาณ 5-6 ล้าน pixel
- ใช้ในการทำสิ่งพิมพ์ หรืองานสตูดิโอ
แน่ นอนว่าคุณต้องซื้อกล้อง ดิจิตอล SLR ซักตัว เพื่อที่จะได้ปรับค่าต่างๆ เปลี่ยนเลนส์ แฟลซ หรืออุปกรณ์เสริมอื่นๆได้ตามใจ ความละเอียดก็ไม่ควรต่ำกว่า 5 ล้าน Pixel
2.เลือกคุณสมบัติของกล้อง
คุณควรรู้จักค่าคุณสมบัติของกล้องเหล่านี้ เวลาไปเลือกซื้อ เพื่อที่จะเลือกกล้องได้เหมาะสมกับความต้องการมากที่สุด
- ความละเอียด
ความละเอียดขนาดของภาพเมื่อนำไปอัดเหมาะกับ
2 Megapixels5 x 7 นิ้ว(รูปถ่ายขนาดปกติ) ถ่ายภาพทั่วไป ทำเว็บ
3 Megapixels8 x 10 นิ้วถ่ายภาพทั่วไป งานที่ต้องการคุณภาพพอสมควร
ตั้งแต่ 4 Megapixelsกระดาษ A4 ขึ้นไปงานสิ่งพิมพ์ งานนิตยสาร งานที่ต้องการคุณภาพของงานสูงๆ
- ความสามารถในการซูม
โดยปกติ เราจะเห็นว่ามีการเขียนถึงรูปแบบการซูมอยู่ 2 อย่างคือ Optical zoom กับ Digital zoom โดยจำไว้ว่า ไม่ต้องสนใจกับค่า digital zoom โดย การ zoom แบบนี้เป็นการขยายรูปจากไฟล์ภาพธรรมดา ซึ่งเราสามารถใช้คอมพิวเตอร์ทำทีหลังได้อยู่แล้ว แต่ให้สนใจค่า Optical zoom ซึ่งเป็นการ Zoom จากเลนส์จริง ซึ่งแน่นอน ยิ่ง zoom ได้มากก็ยิ่งดี
- เรื่องของ Battery
แน่ นอน แบตเตอรี่นั้นก็สำคัญมากๆ เพราะหากแบตเตอรี่หมด กล้องดิจิตอล ก็ไม่ต่างจากเครื่องประดับธรรมดาๆ ควรพิจารณาดูด้วยว่าแบตเตอรี่ที่ใช้นั้น เป็นแบบไหน แนะนำอย่างยิ่งให้ใช้แบตเตอรี่แบบที่ชาร์จไฟได้ เพราะจะถ่ายภาพได้นานกว่า และไม่เปลืองสตางค์อีกด้วย อายุการใช้งานก็สำคัญเช่นกัน ควรดูด้วยว่ากล้องรุ่นนั้นเมื่อชาร์จไฟเต็มแล้ว สามารถถ่ายภาพได้กี่ภาพแบตเตอรี่จึงจะหมด โดยปกติก็ไม่ควรน้อยกว่า 150-200 ภาพ เป็นอย่างน้อย
- ความสามารถในการปรับแบบ Manual
การ ปรับค่าแบบ Manual จะอนุญาตให้คุณ สามารถปรับค่าบางอย่างได้เอง เช่น ค่าความกว้างของรูรับแสง ความเร็ว ชัตเตอร์ เป็นต้น ซึ่งถ้าคุณอ่านแล้วไม่รูว่าค่าเหล่านี้คืออะไร ความสามารถในการปรับแบบ Manual นี้ ก็คงไม่จำเป็นสำหรับคุณ
- ขนาด รูปร่าง และน้ำหนัก
คุณ ควรจะพิจารณา ขนาด รูปร่าง และน้ำหนักของกล้องด้วยว่าเหมาะสมกับคุณหรือว่าถูกใจคุณรึเปล่า ซึ่งอันนี้คงต้องพิจารณาเอาเองแล้วละครับ
3. ตั้งงบประมาณในการซื้อกล้อง
จริงๆ แล้วในตอนแรก ผมกะว่าจะเอาข้อนี้เป็นข้อแรกอยู่เหมือนกัน เพราะมันน่าจะสำคัญที่สุด สำหรับคนส่วนใหญ่ เอาเป็นว่าตอนนี้คุณก็คงพอจะรู้แล้ว ว่ากล้องดิจิตอลที่คุณต้องการนั้นควรมีคุณสมบัติยังไง ทีนี้ก็ลองตั้งงบประมาณดูนะครับ ว่าคุณมีเงินที่จะซื้อกล้องเท่าไหร่ และจะซื้อรุ่นไหนที่คุณสมบัติตรงและอยู่ในงบประมาณได้บ้าง อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าของแต่ละคนครับ
4. ดูตัวอย่างภาพที่ถ่ายจากกล้องที่ต้องการซื้อ
อัน นี้ก็สำคัญนะครับ จากประสบการณ์ของผมบอกได้เลยว่า บรรดากล้องยี่ห้อดังๆ ทั้งหลายในราคาใกล้เคียงกัน คุณภาพมักไม่ต่างกันเท่าไหร่ แต่ภาพนี่สิ แต่ละยี่ห้อก็จะมีเอกลักษณ์ของตัวเอง บางยี่ห้อสีของรูปดูเป็นธรรมชาติ บางยี่ห้อสีสันสดใส บางยี่ห้อสีโทนออกนุ่มๆ ซึ่งถ้าถามว่าอันไหนสวยกว่ากัน ผมก็ตอบไม่ได้ ดังนั้นอย่าไปฟังใครพูดว่ายี่ห้อไหนสวยกว่ากัน จงดูด้วยตาของตัวเองดีกว่าจะได้ถูกใจคุณที่สุด
5. เปรียบเทียบราคากล้องรุ่นที่คุณสนใจ
เมื่อ คุณทราบแล้วว่จะซื้อกล้องรุ่นไหน ที่สำคัญอย่าลืมดูราคาหลายๆร้าน ซึ่งโดยปกติแล้ว ไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องซื้อกับร้านใหญ่ๆหรือว่าต้องซื้อในห้าง เพราะถ้ากรณีรับประกันศูนย์มันก็ไม่ต่างกันอยู่แล้ว ดังนั้นควรพิจารณาร้านที่ขายราคาถูก น่าเชื่อถือ และเดินทางไปที่ร้านสะดวก(ใกล้บ้าน)เวลาของมีปัญหาจะดีกว่า อ้อ ที่สำคัญอย่าลืมดูด้วยว่าของแถมแต่ละร้านมีอะไรบ้าง เพราะบางร้านอาจจะขายถูก เพราะไม่แถมอุปกรณ์ที่จำเป็นบางอย่าง เช่นหน่ายความจำ เป็นต้น จึงควรถามให้แน่ใจก่อน
6. ดูการรับประกัน
การ รับประกันนี้สำคัญมากๆ ครับ เพราะ อุปกรณ์ถ่ายรูปแบบอิเลคทรอนิคมีโอกาสเสียง่ายกว่าอุปกรณ์ถ่ายรูปที่เป็นกลไก ที่ไม่ซับซ้อนแบบเดิมๆ ดังนั้นเราควรพิจารณาให้ดี ซึ่งการรับประกันจะมี 3 แบบคือ
- ประกันศูนย์ หมายถึงรับประกันโดยเจ้าของผลิตภัณฑ์หรือตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการแต่งตั้ง จากเจ้าของผลิตภัณฑ์โดยตรง ซึ่งแบบนี้ก็ไม่ต้องพิจารณาอะไรมาก เพราะเค้าจะมีศูนย์ซ่อมและอะไหล่ไว้บริการเวลาเครื่องเสียอยู่แล้ว
- ประกันร้าน แบบนี้หมายถึง ทางร้านนำกล้องเข้ามาขายเอง ไม่ได้ผ่านตัวแทนจำหน่ายโดยตรง จึงได้ราคาถูกกว่า เพราะไม่ต้องกันราคาไว้ตั้งศูนย์บริการหลังการขาย แต่ก็เสี่ยงกว่า ในแบบนี้แน่นอนถ้าเสียทางร้านก็คงต้องเป็นคนรับผิดชอบ ซึ่งก็คงยากมากที่จะซ่อมเร็วกว่าศูนย์ และในบางกรณีอาจโดนโบ้ยได้ (โบ้ยเป็นภาษาจีนแปลว่าไม่รับผิดชอบ) จึงต้องพิจารณาร้านที่จะซื้อให้ดี แนะนำว่าถ้าราคาไม่ถูกกว่ามากนัก ก็ซื้อแบบประกันศูนย์เถอะครับ สบายใจกว่า
- ประกันแบบตัวใครตัวมัน โดยแบบนี้เห็นบางราย นำเข้ามาขายในลักษณะหิ้วเข้ามาจากต่างประเทศ ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้มีอาชีพขายกล้องโดยตรง แน่นอนราคาถูกกว่า(แต่ผมว่าก็ไม่เท่าไหร่) แต่แบบนี้เวลาเสียขึ้นมาคิดหรือว่าเค้าจะหิ้วกล้องของคุณไปที่ต่างประเทศ เพื่อเอาไปซ่อมให้ ฝันกลางวันแน่ๆ
ท้ายสุดนี้ก็ขอให้ทุกท่านเลือกซื้อกล้องได้ถูกใจถูกราคานะครับ
คาเมร่าแมน

กล(โกง)ร้านกล้อง


ในยุคที่ข้าวยาก หมาก(น่าจะเปลี่ยนเป็นน้ำมัน)แพง จะจับจ่ายใช้สอยอะไรก็ต้องคิดหน้าคิดหลัง โดยเฉพาะกล้องด้วยแล้ว ราคาไม่ใช้น้อยเลย ขยับตัวก็เป็นหลักพันทั้งนั้น
ในวงการร้านขายกล้อง ก็มีการแข่งขันกันสูงมาก กำไรก็น้อยลง ผู้บริโภคก็ฉลาดขึ้น หันมาเช็คราคาของก่อนไปซื้อเป็นอย่างดี ทำให้กรณี?ต้มหมู? เหมือนสมัยยุคก่อนๆทำได้ยากมาก ผมเคยไปแอบดูร้านของเพื่อนที่มันขายกล้องอยู่ คุณเชื่อไหม ว่ากล้องบางรุ่นกำไร 2-3 ร้อยบาทเท่านั้นเอง เทียบกับราคากล้องที่เหยียบหลักหมื่นกันทั้งนั้น คุณลองคิดดูว่าถ้าขายไม่ออกซักตัว 2 ตัวก็ลำบากแล้ว(น่าเห็นใจ) แต่ในเรื่องนี้ผู้บริโภคอย่างเราไม่เกี่ยว(ก็อยากเปิดร้านขายเองนี่หว่า ตูไม่ได้บังคับซักหน่อย) แต่ที่เกี่ยวก็คือกลยุทธหลอกลวงผู้บริโภคแบบหลอกลวงนี่ซิที่ผมยอมไม่ได้ และต้องมาแฉให้ทุกคนได้รู้ไว้

กลยุทธที่ผมเคยเจอมาเอง(สมัยยังเป็นหมูให้เค้าเชือด) และจากที่ได้ยินได้ฟังมาพอจะสรุปเป็นข้อๆได้ดังนี้
1. แสดงราคาขายไว้ แต่เป็นราคาที่เอาอุปกรณ์มาตรฐานออก
ข้อนี้เรามักจะเจอกันอยู่บ่อยๆ แล้วก็ไม่น่าเชื่อว่าร้านดังๆหลายๆร้านเคยใช้วิธีนี้ จริงๆแล้วโดยปกติถ้าเป็นกล้องรุ่นเดียวกัน ทางตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย จะแถมอุปกรณ์มาตรฐานมาให้เหมือนกันทุกร้านอยู่แล้ว เช่น รุ่นนี้จะแถม memory เท่าไหร่ แบตเตอรี่หรือกระเป๋ากล้องมีมั๊ย แต่เนื่องจากในยุคที่อินเตอร์เนตเข้ามามีผลกับชีวิตประจำวัน คนที่จะซื้อกล้องเป็นจำนวนมากจะเช็คราคากล้องผ่านระบบ internet ก่อน ว่าร้านไหนถูกสุด จึงทำให้มีบางร้านที่หัวใส (แถวบ้านผมเรียกขี้โกง) ใส่ราคาไว้ใน internet ราคาถูกกว่าชาวบ้าน แต่พอไปถึงร้าน กลับบอกว่า ต้องซื้อโน่นเพิ่มบ้าง นี่เพิ่มบ้าง หรือแถมน้อยกว่าชาวบ้านบ้าง ทั้งที่ร้านอื่นแถมให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน(หมายถึงบริษัทแม่แถมมาให้อยู่แล้ว) พอรวมๆราคาแล้ว ราคาแพงกว่าชาวบ้านเค้าซะงั้น แต่ทำไงได้ละว่ะ ก็มาถึงร้านแล้วนี่ ยังไงก็ต้องซื้อ
สำหรับวิธีการแก้ไขสำหรับกรณีนี้คือ ก่อนจะไปซื้อเช็คให้ดีก่อนหลายๆร้าน โทรศัพท์ที่มีนะใช้ให้เป็นประโยชน์ เช็คให้ดีว่ารุ่นนี้เค้าแถมอะไรบ้าง เท่าไหร่ ที่สำคัญคือ
-  Memory แถมเท่าไหร่  32,64,128 , 256 หรือ 512 เช็คให้ดี ถามให้ชัดเจนว่า ?แถม? หรือต้องซื้อเพิ่ม โดยส่วนใหญ่(99%)กล้องดิจิตอลทุกรุ่นจะมีแถมมาด้วยอยู่แล้ว จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง
- Battery แถมรึเปล่า ซึ่งอันนี้ก็ไม่แน่บางรุ่นก็ไม่แถม โดยเฉพาะรุ่นที่ราคา ไม่ถึง 12,000 นี่ไม่ค่อยแถมครับ ต้องซื้อเพิ่ม
- กระเป๋า อันนี้ก็แล้วแต่รุ่นเหมือนกัน บางทีทางร้านก็แถมของทางร้านเองให้
- ขาตั้งกล้อง อันนี้ไม่ค่อยแถมครับ ส่วนใหญ่จะเป็นของทางร้านเอง (ซึ่งส่วนใหญ่ก็แถมของโหล ใช้งานไม่ค่อยได้)  หรือถ้ามีแถมมาจากผู้ผลิต ก็จะเป็นอันเล็กๆ เหมาะจะเอามาประดับซะมากกว่า
แต่หากไปถึงร้านแล้วปรากฏว่า ไม่เป็นอย่างที่พูด หรือเห็นว่าเข้าข่าย ?หลอกกันนี่หว่า? แล้วละก็ วิธีการเดียวคือ ?กลับ? ครับ อย่าไปซื้อของมัน ถ้าไม่อย่างนั้นเท่ากับเป็นการส่งเสริมไอ้พวกนี้ให้ได้ใจใหญ่เลย
2. แสดงราคาขายที่เป็นราคาเครื่องหิ้ว แต่เขียนให้เข้าใจผิดว่าเป็นราคาเครื่องศูนย์
กำไรของการขายเครื่องหิ้วและเครื่องศูนย์ต่างกันพอสมควรครับ อีกอย่างเครื่องศูนย์ มักจะมีการกำหนดราคาขายมาตายตัวมาจากบริษัทแม่(บางบริษัท นะครับ ไม่ใช่ทุกยี่ห้อ) ว่าให้ขายราคาเท่ากันหมด ทำให้ตัดราคาขายไม่ได้ จึงมีบางร้านหัวใส(อีกแล้ว) ใส่ราคากล้องไว้ในเว็บว่าราคาของตูถูกกว่าเป็นพันบาท แต่พอไปถึงร้านแล้ว ขอโทษ ไม่ใช่เครื่องศูนย์ครับ เป็นเครื่องหิ้ว(เรียกอีกอย่างว่าหนีภาษีนั่นเอง) อันนี้ก็เจอบ่อยครับ โดยเฉพาะจ้าวใหญ่ๆที่มีการหิ้วกล้องเข้ามาขายเอง แล้วโฆษณาว่า?ถูกที่สุดในประเทศไทย? นี่แหละ ตัวดีเลย
วิธีแก้ก็เหมือนเดิมครับ โทรเช็คก่อน ว่าราคานี่เป็นเครื่องหิ้วหรือเครื่องศูนย์ แล้วแถมอะไรบ้าง ซึ่งเดี๋ยวนี้ราคาไม่ต่างกันมากครับ โดยเฉพาะถ้ารวมราคาของแถมด้วยแล้วละก็ บางรุ่นเครื่องศูนย์ราคาถูกกว่าก็ยังมีเลย
3. ขายเครื่องหิ้ว ในราคาเครื่องศูนย์
อันนี้ถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงพอสมควร เพราะสามารถเรียกได้ว่าโกงอย่างเต็มปาก จึงไม่ค่อยเห็นร้านไหนทำเท่าไหร่ นอกจากหน้าตาคุณจะละม้ายคล้าย หมู(น่าต้ม) หรือ ลา(โง่) นั่นแหละ อาจจะมีโอกาสเจอได้
วิธีแก้ไขข้อนี้ไม่ยากครับ ดูใบรับประกันให้ดี(ดูว่าเป็นใบรับประกันของแท้ด้วยนะ ไม่ใช่ใบรับประกันทำเอง) ให้หมายเลขเครื่องตรงกับในใบรับประกันเป็นพอ

4. ใส่ราคาไว้ถูกกว่าชาวบ้าน แต่ถึงเวลาไปจริงๆไม่มีของ แต่เชียร์รุ่นอื่นแทน
อันนี้บอกยากเหมือนกันครับ ว่าเจตนาเป็นยังไง บางที่เค้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะหลอกคุณหรอกครับ อย่างที่บอกว่ากล้องเดี๋ยวนี้กำไรไม่ได้มากมายอะไร ถ้าเทียบกับราคากล้อง ร้านส่วนใหญ่จึงมี stock ของเก็บไว้ไม่กี่ตัว โดยเฉพาะรุ่นที่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมด้วยแล้ว บางร้านก็ไม่มีติดไว้ที่ร้านเลย แล้วถ้าจู่ๆคุณไปที่ร้านเค้าเลยแล้วเค้าบอกว่าของไม่มี หรือหมด คุณจะไปบอกว่าเค้าหลอกลวง มันคงไม่ใช่ แต่ที่จะเข้าข่ายหลอกลวงคือเค้าตั้งใจให้คุณไปที่ร้านแล้ว หว่านล้อม ชักแม่น้ำทั้ง 7 ให้คุณซื้อรุ่นอื่น(ซึ่งเค้าอาจจะได้กำไรดีกว่า) อันนี้ก็ต้องถือว่าไม่ถูกต้องนัก
วิธีการแก้ไขก็ไม่อยากเช่นกันครับ โทรศัพท์(อีกเช่นเคย) ไปถามเค้าก่อนว่ารุ่นนี้มีมั๊ย แล้วนัดเค้าให้ดีว่าวันไหนจะเข้าไปเอา ที่สำคัญอย่าลืมทิ้งเบอร์ไว้ให้เค้าด้วย ในกรณีที่ของหมดหรือไม่มีของกระทันหันให้เค้าโทรมาแจ้งเรานิดนึงจะได้ไม่เสียเวลา
5. โจมตีคู่แข่ง ยกหางร้านตัวเอง
เมื่อคู่แข่งมีมาก ตลาดยังมีเท่าเดิม วิธีการที่ร้านกล้องบางแห่งเลือกใช้คือ?โจมตี ป้ายสี ?ร้านคู่แข่ง และยกหางร้านตัวเองขึ้นมา โดยเฉพาะชุมชนที่มีผู้ใช้กล้องมารวมกันเยอะๆ เช่น ในเว็บ Pantip หรือ เว็บ Taklong พวกนี้จะใช้วิธีให้คนของตนสมัครสมาชิกไว้หลายๆชื่อ หลังจากนั้น ก็จะคอยดูกระทู้ที่มีคนเข้ามาถามเกี่ยวกับการซื้อกล้อง แล้วก็จะตอบว่า ?ร้าน....บริการดีครับ? ?ไปที่ร้าน.....ซิ ดีครับ ผมเคยซื้อมาแล้ว? อะไรทำนองนี้ครับ ส่วนใหญ่พวกที่มาตอบแบบนี้ 80% จะเป็นพวกหน้ายาว(เหมือนม้า)ครับ ซึ่งสำหรับกรณีนี้ยังพอให้อภัย แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อว่าร้านคู่แข่งอย่างเสียๆหายๆ แต่งเรื่องที่ไม่เป็นความจริงขึ้นมา น้ำเน่ายิ่งกว่าละครหลังข่าวเสียอีก ทั้งที่จริงแล้วร้านที่มาโพสว่าคนอื่นเนี่ย อาจจะ?ห่วย?ที่สุดก็ได้
อันนี้เราคงไม่ต้องแก้ไขหรอกครับ แต่จำไว้ในใจก็พอว่า?อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ?ครับ โดยเฉพาะในสื่อ internet ที่ไม่เห็นว่าใครเป็นใครเนี่ย ลองหาข้อมูลแบบอื่นๆดูบ้าง โทรไปคุยกับทางร้านดูก็ได้ ผมว่าร้านดีๆเค้าก็พร้อมที่จะให้คำปรึกษาครับ
ก็หวังเป็นอย่างยิ่งนะครับว่า ถ้าท่านได้อ่านบทความนี้แล้วจะช่วยให้ทุกๆคน ซื้อกล้องได้ถูกสตางค์และถูกใจมากขึ้น จะทำยังไงได้ละครับ ยุคนี้มันยุค?ข้ารวยคนเดียว?นี่ คนมีสตางค์น้อยอย่างเราๆ ก็ต้องรู้จักวิธีการพวกนี้ไว้บ้าง จะได้ไม่ถูกหลอกง่ายๆ ยังไงละครับ ......5555
เค แมน

แบตเตอรี่ AA เรื่องต้องรู้ ที่(คุณ)ไม่รู้



"กล้องที่ซื้อมาทำไมกินแบตจัง ถ่ายไม่กี่รูปก็หมดแล้ว" นี่เป็นคำถามที่ผมได้ยินมาครั้งเท่าไหร่ก็จำไม่ได้แล้ว ซึ่งอันที่จริงเมื่อสมัยก่อนผมเองก็เคยเป็นคนที่ตั้งคำถามอันนี้ขึ้นมาเหมือนกัน หลังจากได้ยืมเจ้ากล้องดิจิตอลของเพื่อนไปใช้งาน ซึ่งปรากฏว่าถ่ายไปแค่ไม่กี่รูป(ไม่ถึง 20 รูป) ปรากฏว่าเจ้าถ่านอัลคาไลน์ที่ซื้อมาเหยียบๆร้อยบาท ก็มีอันหมดกำลังไปซะดื้อๆ ทำให้ผมจำไปตั้งนานว่ากล้องรุ่นนั้นเป็นกล้องรุ่นที่ไม่ดี แถมใครถามก็บอกรุ่นนี้ไม่ดีอย่าไปซื้อ มันกินถ่าน กว่าจะมารู้ความจริงเวลาก็ผ่านไปหลายปีดีดัก กะว่าจะกลับไปขอโทษเจ้ากล้องรุ่นนั้นซะหน่อยก็เป็นอันว่าตกรุ่นไปแล้วหาคนใช้ไม่ได้อีก เป็นอันว่าบทความนี้ก็ถือว่าอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากล้องรุ่นนั้น อย่าได้มาถือโทษโกรธเคืองคนไม่รู้เลย
อันที่จริงผมพบว่ามีความเข้าใจผิดอยู่อีกมากในเรื่องของถ่าน(แบตเตอรี่)ที่ใช้กลับกล้องดิจิตอล เพราะบ่อยครั้งเหลือเกินที่ผมได้ยินคำพูดเหล่านี้
"ใช้ถ่าน AA ซิดี ถ้าหมดเมื่อไหร่ ก็ไปซื้อที่ไหนใส่ก็ได้" <------- เป็นความเชื่อที่ถูกเพียง 20 % ผิด 80 %
"ถ่านลิเธียมใช้ได้นานกว่าถ่าน AA" <-------- ไม่จริงเสมอไป
"ซื้อกล้องที่ใช้ถ่าน AA ดีกว่าเพราะราคาถูกกว่า ไว้มีตังค์ค่อยไปซื้อถ่านชาร์จมาใช้" <------ ผิด 100%
"ถ่านรูปร่างเป็น AA รุ่นไหนก็ใช้ได้กับกล้องดิจิตอล" <------- ผิดอีกเช่นกัน
**หมายเหตุ สำหรับคนไม่รู้ AA คือรหัสบอกขนาดของถ่านครับ มันคือขนาดถ่านไฟฉายขนาดเล็กนั่นเอง
นั่นแน่ ...!! คุณก็เป็นคนหนึ่งใช่ไหมที่คิดแบบข้างบน เอาละไม่รู้ไม่ว่ากัน แต่วันนี้คุณจะได้รู้แล้วครับ ว่าเรื่องจริงเป็นเป็นอย่างไร
มาดูประเภทของถ่าน AA กันดีกว่าว่ามีกี่ประเภทและอย่างไหนใช้ได้และไม่ได้บ้าง
1. ถ่าน AA ชนิดธรรมดา
ถ่านชนิดนี้ทุกคนต้องเคยใช้มาก่อนแน่นอน เพราะมีใช้มานานมากแล้ว ไม่ว่าจะใส่กับวิทยุ นาฬิกา หรือของเล่น ถ่านชนิดนี้จะมีราคาถูกที่สุด แต่ทว่า !! เสียใจด้วยครับ ถ่านชนิดนี้ "ใช้ไม่ได้กับกล้องดิจิตอล" เนื่องจากกำลังไฟไม่พอที่จะจ่าย ส่วนใหญ่แล้วถ้าคุณใส่ถ่านชนิดนี้เข้าไป กล้องของคุณจะเปิดไม่ติด (แต่ก็ไม่ได้ทำให้เสียครับ) เพราะไฟไม่พอ ซึ่งถ่านชนิดนี้นี่เองที่ทำให้ใครต่อหลายคนได้เสียตังค์ค่ารถไปที่ศูนย์ซ่อม เนื่องจากนึกว่ากล้องเสียมานักต่อนักแล้ว
2. ถ่าน AA ชนิดอัลคาไลน์ (Alkaline)
เป็นถ่าน AA ที่ให้พลังงานนานกว่าถ่านแบบธรรมดาประมาณ 7 เท่า(จำมาจากโฆษณา) และเจ้าตัวนี้เองที่ทำให้คนเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวงมานักต่อนักแล้ว ว่าน่าจะใช้กับกล้องดิจิตอลได้ แต่ความจริงคือ "ใช้กับกล้องดิจิตอลได้ แต่ระยะเวลาที่ใช้ได้สั้นมาก" เนื่องจากกำลังของมันก็ยังไม่อึดพอ ที่จะทนการกินพลังงานอันมหาศาลจากกล้องดิจิตอลได้ คุณอาจจะถ่ายไปได้เพียง 10 กว่ารูปแล้วถ่านหมด ก็ไม่ไช่เรื่องแปลกเลย
3. ถ่าน AA ชนิดอัลคาไลน์ที่ใช้กับกล้องดิจิตอล
ไอ้เจ้านี่ต่างหาก ที่คุณจะต้องซื้อมาใช้กับกล้องของคุณ ยามที่ถ่านของคุณหมด เนื่องจากมันจะให้พลังงานมากกว่า ถ่านอัลคาไลน์ธรรมดาประมาณ 3 -4 เท่า แต่ราคาละ โอ้ พระเจ้าจ๊อด มันคงไม่ถูกกว่าถ่านอัลคาไลน์ปกติเป็นแน่แท้
ถึงตรง ตกใจใช่ไหมละครับ !! เห็นไหมผมบอกแล้ว ว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจผิด หลงคิดว่ากล้องที่ใช้ถ่าน AA ใช่ถ่านแบบไหนก็ได้ บางคนกะจะไปซื้อถ่านธรรมดาราคา 10 กว่าบาทมาใช้ มันใช้ไม่ได้หรอกพ่อคุณ !!
4. ถ่าน AA ชนิด นิเกิล-เมตัลไฮไดร์ (Ni-MH)
เป็นถ่านที่แนะนำว่าคุณ"ต้องซื้อ"มาใช้กับกล้องดิจิตอลของคุณ(ถ้ามันไม่แถมมา) ถ่านชนิดนี้มีหลากหลายค่าความจุให้เลือก โดยถ้าจะนำมาใช้กับกล้องดิจิตอลต้องเลือกที่ความจุไม่น้อยกว่า 2000 mAh (mAh เป็นหน่วยวัดค่าความจุไฟฟ้า ยิ่งมากยิ่งดี ยิ่งใช้ได้นาน) ซึ่งถ่านชนิดนี้จะสามารถชาร์จไฟนำมาใช้อีกได้ และถ่ายได้นาน(100 รูปขึ้นไป) แต่ก็จะมีราคาแพงพอสมควร (พันกว่าบาทขึ้นไป สำหรับมากกว่า 2000 mAh รวมที่ชาร์จ) ซึ่งโดยปกติแล้วจะสามารถชาร์จไฟนำมาใช้ได้ใหม่ประมาณ 500 ครั้ง ซึ่งถ้าคิดราคาต่ออายุการใช้งานแล้วละก็"ถูกที่สุด"ครับ
เอาละครับ อ่านมาถึงตรงนี้แล้วคงพอจะเข้าใจตรงกันแล้ว ว่าถ่านแบบไหนที่ควรจะนำมาใช้กับกล้องดิจิตอล และผมจะขอสรุปเรื่องที่เข้าใจผิดๆให้เข้าใจกันซะที
1. อย่าหวังว่าคุณจะใช้ถ่านราคา 10 กว่าบาทได้กับกล้องดิจิตอล(ไม่มีรุ่นไหนยกเว้น)
2. หากคุณคิดจะซื้อกล้องที่ใช้ถ่าน AA แล้วหวังว่าสะดวกกว่าเวลาถ่านหมดก็ไปหาถ่านเอาแถวๆนั้นได้ละก็ ให้รู้ไว้เลยว่าถ่านที่คุณจะต้องซื้อมาใช้คือ Alkaline สำหรับกล้องดิจิตอล (ถ้าซัก 10 กว่ารูป Alkaline ธรรมดาก็พอไหว) ราคาหลักร้อยนะครับ (อย่าลืมละว่าถ่านแบบธรรมดาใช้ไม่ได้)
3. เวลาคุณไปซื้อกล้องแล้วกล้องใช้ถ่าน AA โดยไม่แถมถ่านแบบที่ชาร์จได้มาให้ละก็ คุณจำเป็นที่สุดที่จะต้องซื้อถ่านชาร์จ(พร้อมแท่นชาร์จ)มาด้วย อย่าลืมเตรียมงบเผื่อไว้อีกประมาณ พันกว่าบาท ....ไม่อย่างนั้นคุณจะกระเป๋าฉีกค่าถ่านแน่นอน .... ฟันธง !!!!
4. เวลาเปรียบเทียบราคากล้อง หรือเตรียมเงินซื้อกล้อง อย่าลืมพิจารณาตรงนี้ด้วย ถ้ารุ่นไหนไม่แถมถ่านชาร์จ บวกไปอีกประมาณพันสองได้เลย เชื่อผม!!
5. ถ่านที่แถมมากับกล้อง เค้าใส่มาให้ทดสอบว่าเปิดติด ถ่ายได้เท่านั้นละพ่อคุณ อย่าไปคาดหวังอะไรกับมันมาก(บางคนได้กล้องมา ใส่ถ่านออกลุยเลย แป๊บเดียวถ่านหมด จ๊อยสนิท อิ อิ)
หวังว่าเจ้ากล้องรุ่นนั้นคงไปสู่สุขตินะครับ